Wednesday, July 17, 2013

ชื่อเรื่อง ระบบกระดูก
รายวิชาพละศึกษา
ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา2556
นางสาวชญานุช         ธนฤกษ์ชัย        ม.4/10 เลขที่ 1
นางสาวพิชชาภา       สุวรรณวิสารท    ม.4/10 เลขที่ 8
นายชัชวัสส์               เจริญเกียรติบุตร ม.4/10 เลขที่ 10
นายหิรัญ                   รุจิพิมลกิจ          ม.4/10 เลขที่ 20
 

Wednesday, June 5, 2013

โรคเกี่ยวกับกระดูก

เก๊าท์

ลักษณะอาการ เก๊าท์เกิดจากกรดยูริคและหินปูนเกาะตามข้อต่างๆ เมื่อรับประทานของแสลงที่มีโปรตีนมากๆ จะไปกระตุ้นกรดยูริคและหินปูน ทำให้ไปปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดจึงเกิดการปวดบวม อาการเหล่านี้ปกติถ้ารับประทานยาแผนปัจจุบันก็เป็นเพียงการบรรเทาไประยะ หนึ่งเท่านั้น บางรายที่มีอาการมากๆ ปวดบวมแล้วไม่ลดลงจะทำให้เลือดขาดการไหลเวียน เลือดขาดออกซิเจนจนแปรสภาพเป็นเลือดเสียถึงขั้นต้องตัดนิ้วทิ้งก็มี

ปวดข้อและปวดเข่า

ลักษณะอาการ เป็นอาการของไขข้อเสื่อมหรือไขข้อแห้ง สาเหตุเพราะไตทำงานไม่สมบูรณ์ ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนน้อย เนื่องจากฮอร์โมนที่ผลิตออกมาจะต้องไปหล่อเลี้ยงเซลล์ของร่างกายและผิวพรรณ แล้ว อีกส่วนหนึ่งยังไปเสริมสร้างพลังทางเพศอีกด้วย และส่วนที่เหลือจะแปรสภาพเป็นไขข้อไปหล่อเลี้ยงตามข้อและกระดูกทุกส่วนของ ร่างกาย การรักษาปัจจุบันใช้วิธีผ่าตัดเส้น ทำให้มีผลข้างเคียงหรือเกิด

กระดูกทับเส้น - เส้นทับกระดูก

ลักษณะอาการ เนื่องจากการผลิตฮอร์โมนของต่อมหมวกไตไม่เพียงพอ ทำให้เยื่อบุกล้ามเนื้อเกิดการหย่อนยานเป็นพังผืด พอนานวันก็ไปหุ้มเส้นและกระดูก ทำให้กระดูกและเส้นเสียสมดุล ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก จึงเกิดอาการปวด แรกๆก็ปวดไม่มาก นานๆวันก็ปวดมากขึ้น บวกกับหินปูนไปเกาะเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้ปวดมากขึ้น
ลักษณะอาการ เกิดจากเส้นเอ็นหย่อนยานหรือบิดตัวทำให้กระดูกเคลื่อนจากข้อต่อ หรือหลุดออกจากข้อหรือเบ้า ทำให้เจ็บปวดมาก ปกติจะใช้การผ่าตัดแต่ไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์
ดื่มยาน้ำสมุนไพรจีน ฮั้วลักเซียม ช่วยให้เส้นเอ็นกระชับตัว ดึงกระดูกให้เข้าที่

กระดูกโก่งงอ

ลักษณะอาการ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากระบบฮอร์โมนและการทำงานหนัก หรือการยืนนานๆเป็นประจำ เท่าที่พบมักจะเกิดกับกระดูกขาและกระดูกหลัง มีการโก่งตัวไปข้างหน้าหรือด้านหลังจนเสียการทรงตัว ทั้งนี้ต้นเหตุเกิดจากการเสื่อมของเส้นเอ็นที่ยึดกระดูกไม่สมดุล ต้นเหตุมาจากการเสื่อมของฮอร์โมนไขข้อไม่เพียงพอนั่นเอง

กระดูกเสื่อม

     โรคกระดูกเสื่อม คือโรคที่มีการเสื่อมของกระดูกอ่อนของข้อที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อมือ ข้อศอก ข้อไหล่ และข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ซึ่งส่วนประกอบหลักของกระดูกอ่อนเหล่านี้คือน้ำและโปรตีน ที่จะทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น ทนต่อแรงกระแทกและเสียดสี แต่เมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะเกิดการเสื่อมและสึกหรอ
     เมื่อเสื่อมแล้วก็จะเกิดอาการปวดขัดตามข้อ ข้อโปนและผิดรูป มักพบในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหนัก อย่างชาวไร่ชาวนา พ่อค้า แม่ค้า และกรรมกร คนเหล่านี้เมื่อไปโรงพยาบาล (ส่วนใหญ่ไปเป็นประจำ เพราะโรคไม่หาย) ก็จะได้ยาแก้อักเสบ บรรเทาปวด ยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะ แคลเซียม รวมถึงกลูโคซามีน เป็นหลัก
     เรียกว่าถ้าใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า เบิกราชการ หรือบริษัทได้ (ฟรี) ก็จะได้ยากลุ่มนี้กันทุกคน แล้วทราบกันหรือไม่ว่าห้ามกินยาลดกรดกับแคลเซียม เพราะจะไม่ดูดซึม อาจทำให้ท้องผูก และไม่เกิดประโยชน์อะไร กระดูกอ่อนเสื่อมนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแคลเซียม
     การรักษาคือ ถ้าปวดมากก็ใช้ยาบรรเทาปวดหรือลดการอักเสบเป็นครั้งคราว ลดการใช้งานของข้อนั้นๆ บริหารข้อเพื่อสร้างความแข็งแรง รวมถึงอาจใช้ยาเสริมกระดูกพวกกลูโคซามีนช่วยได้บ้าง

กระดูกพรุน

     โรคกระดูกพรุน หรือกระดูกโปร่งบาง บางครั้งเรียกว่ากระดูกผุ เป็นการเสื่อมของกระดูกแข็งที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยมีเนื้อเยื่อกระดูกและแคลเซียมลดลง ทำให้กระดูกทรุดลงและแตกหักง่าย มักพบในผู้สูงอายุและสตรีหลังหมดประจำเดือน
     โรคนี้แหละที่เป็นจุดขายของแคลเซียมและอาหารเสริมต่างๆ ในทางการตลาดจะส่งเสริมการขายโดยการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้สูงอายุและสตรีสูงอายุเกือบทุกรายถ้าได้ตรวจก็จะพบว่า กระดูกบางกว่าปกติ แล้วก็จะได้แคลเซียมมา ซึ่งมักกำหนดให้กินในขนาดสูงๆ (ไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน) โดยลืมพิจารณาว่าผู้ป่วยนั้นได้แคลเซียมจากอาหารการกินมากน้อยเพียงใด แล้วแคลเซียมที่ให้มานั้นเป็นเกลือแคลเซียมชนิดใด เวลาแตกตัวแล้วจะให้แคลเซียมอิสระปริมาณเท่าใด และที่สำคัญคือถ้าได้มากไปจะเกิดผลเสียอย่างไร
     แคลเซียมมีในอาหารหลายๆ ประเภท เช่น ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง นม หรือแม้กระทั่งผักใบเขียว ถ้าเทียบตามน้ำหนักพบว่า นมวัวมีแคลเซียมน้อยกว่ากุ้งแห้งเกือบ ๒๐ เท่า และน้อยกว่าผักคะน้า ๒ เท่า ดังนั้น ถ้ากินอาหารได้ตามปกติครบ ๕ หมู่ในปริมาณที่เพียงพอก็จะไม่ขาดสารอาหารใดๆ รวมถึงแคลเซียม

กระดูกอ่อน

โรคกระดูกอ่อน เป็นลักษณะที่กระดูกขาดแคลเซียมโดยที่เนื้อเยื่อกระดูกปกติ ความแข็งแรงจึงลดลงแต่ยืดหยุ่นมากขึ้น มักพบในคนที่ขาดวิตามินดี เด็กช่วงอายุ ๖ เดือนถึง ๓ ขวบ
คนที่ขาดสารอาหารรุนแรง ผู้สูงอายุที่ขาดการเคลื่อนไหวและไม่ได้สัมผัสแสงแดด ผู้ป่วยโรคไตพิการ หรือผู้ที่มีต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ
โรคนี้แหละที่ถือว่าร่างกาย ขาดแคลเซียมอย่างแท้จริง และจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วย การให้ทั้งแคลเซียมและวิตามินดี ร่วมกับการแก้ไขที่ต้นเหตุ
เรื่องของโรค กระดูกประเภทต่างๆ ที่กล่าวมา คงพอจะแยกแยะได้บ้างว่า การใช้แคลเซียมหรือผลิตภัณฑ์เสริมกระดูกต่างๆ นั้นจำเป็นมากน้อยแค่ไหน และใช้อย่างไรเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

โรครูมาตอยด์

 

โรครูมาตอยด์คืออะไร?
โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้อ อักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ลักษณะเด่นคือ มีการเจริญของเยื่อบุข้ออย่างมาก เกิดการลุกลามและทำลายกระดูกและข้อได้ในที่สุด  ระยะแรกผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเพลีย ปวดตามข้อ มีอาการฝืดขัดข้อเป็นเวลานาน (ตอนเช้า) เมื่อมีอาการชัดเจนข้อจะมีการบวม ร้อน และปวด ส่วนที่พบบ่อยคือข้อของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อนิ้วเท้า

อาการ ของข้ออักเสบจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป บางรายอาจมีอาการรุนแรงแบบเฉียบพลันได้ โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อยที่สุด แต่จะมีกลุ่มโรคข้ออักเสบเรื้อรังอื่นๆ อีกมากที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรครูมาตอยด์ ผู้ป่วยจึงควรได้รับการตรวจจากแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและการดูแลรักษาที่ถูกต้องต่อไป
พบว่าโรคนี้เกี่ยวข้อง กับการติดเชื้อบางชนิด และมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมได้  โรครูมาตอยด์เกิดได้กับประชากรทุกกลุ่มอายุ แต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยวัยกลางคน และเพศหญิงมากกว่าเพศชาย

 การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรครูมาตอยด์
อาการ ของโรคต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์  ผู้ป่วยจึงต้องไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและรับยาอย่างสม่ำเสมอ  ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี ยาเหล่านี้ได้แก่ยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ ผู้ป่วยแต่ละรายจะตอบสนองต่อยาเหล่านี้แตกต่างกันออกไป
ยาเหล่านี้อาจมี ผลข้างเคียงทางด้านระบบทางเดินอาหารและระบบไตได้ ในรายที่เป็นรุนแรง มีอาการมากและข้อถูกทำลายมาก แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่ายาระดับที่ ๒ ซึ่งได้แก่ ยาต้านมาลาเรีย ยาทองคำ ยาเมโทเทรกเซต ยาซัลฟาซาลาซีน เป็นต้น ยาเหล่านี้ไม่มีฤทธิ์ในการระงับการเจ็บปวด แต่จะช่วยระงับการลุกลามของโรคได้

การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย มีส่วนสำคัญมากในการรักษาผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ การพักผ่อนจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ไม่มีอาการอ่อนเพลีย แต่การพักจะต้องสมดุลกับการบริหารร่างกายเพื่อไม่ให้ข้อติดขัด  การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมากขึ้น ผู้ป่วยควรเรียนรู้ และหลีกเลี่ยงอิริยาบถที่อาจส่งเสริมให้ข้อถูกทำลายเร็วขึ้น เช่น การนั่งขัดสมาธิในกรณีที่ข้อเข่าอักเสบ  

Friday, May 24, 2013

ชนิดของโครงกระดูก


โครงกระดูกในมนุษย์สามารถแบ่งเป็น  2 กลุ่มใหญ่ โดยใช้ตำแหน่งที่อยู่เป็นเกณฑ์ คือโครงกระดูกแกน (axial skeleton) และโครงกระดูกรยางค์ (appendicular skeleton)


1.โครงกระดูกแกน

เป็นกระดูกที่อยู่ในส่วนแกนกลางของร่างกาย  โดยกระดูกแกนในผู้ใหญ่ประกอบด้วยกระดูกจำนวน80 ชิ้น ซึ่งวางตัวในแนวแกนกลางของลำตัว ซึ่งได้แก่

§ กะโหลกศีรษะ (Skull) มีจำนวน 22 ชิ้น

§ กระดูกหู (Ear ossicles) จำนวน 6 ชิ้น

§ กระดูกโคนลิ้น (Hyoid bone) 1 ชิ้น

§ กระดูกสันหลัง (Vertebral column) จำนวน 26 ชิ้น

§ กระดูกซี่โครง (Ribs) จำนวน 24 ชิ้น

§ กระดูกอก (Sternum) 1 ชิ้น

2.โครงกระดูกรยางค์

กระดูกที่ยื่นออกจากกระดูกแกนกลาง  โดยกระดูกรยางค์ในผู้ใหญ่จะมีทั้งหมด126 ชิ้น ซึ่งจะอยู่ในส่วนแขนและขาของร่างกายเพื่อช่วยในการเคลื่อนไหว โดยจะแบ่งออกเป็น 6 ส่วน ได้แก่

§ กระดูกส่วนไหล่ (Shoulder girdle) 5 ชิ้น

§ กระดูกแขน (Bones of arms) 6 ชิ้น

§ กระดูกมือ (Bones of hands) จำนวน 54 ชิ้น

§ กระดูกเชิงกราน (Pelvic girdle) 2 ชิ้น

§ กระดูกขา (Bones of legs) 8 ชิ้น

§ กระดูกเท้า (Bones of feet) 52 ชิ้น

หน้าที่ของกระดูก



หน้าที่ของกระดูก


1. ป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะในร่างกาย เช่น กะโหลกศีรษะ ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับสมอง เป็นต้น
2. รักษารูปร่างให้คงรูปอยู่ได้ เช่น กระดูกสันหลัง
3. ช่วยในการเคลื่อนที่ เช่น กระดูกที่ขา ทำงานร่วมกับกล้ามเนื้อลาย เอ็น และข้อต่อ ทำให้เกิดการเคลื่อนที่
4. ช่วยให้ได้ยินเสียง เช่น กระดูกโกลน (Stapes หรือ Stirrup) ทำหน้าที่ส่งผ่านความสั่นสะเทือนของเสียงจากกระดูกทั่ง
(Incus) ไปยังหูชั้นใน
5. สร้างเซลล์เม็ดเลือด เช่น เม็ดเลือดแดง (Red blood cell) เม็ดเลือดขาว (White blood cell) และเกล็ดเลือด
(Platelets) ถูกสร้างโดยไขกระดูกสีแดง (Red bone marrow)
6. เก็บสะสมแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม และฟอสฟอรัส
7. เก็บสะสมสารส่งเสริมการเจริญเติบโตบางชนิด เช่น โบน มอร์โฟเจเนติก โปรตีน (Bone Morphogenetic Proteins
หรือ BMPs) เป็นโปรตีนที่ช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและกระดูกอ่อน
8. เก็บสะสมไขมัน ในตอนที่เรายังเป็นเด็กทารกอยู่นั้น จะมีเฉพาะไขกระดูกสีแดงแต่เมื่อโตขึ้นเซลล์บางส่วนในไขกระดูก
จะสลายตัวไป ทำให้เกิดรูพรุนขึ้นมา ซึ่งไขมันจะถูกนำมาเก็บสะสมเอาไว้ในรูพรุนเหล่านี้ ทำให้เห็นเป็นสีเหลือง จึงเรียกว่า ไขกระดูก
สีเหลือง
9. ช่วยควบคุมค่าความเป็นกรด-ด่างในร่างกายไม่ให้เปลี่ยนแปลง ในขณะที่เลือดเป็นด่าง กระดูกจะช่วยดูดซึมสารจำพวก
เกลืออัลคาไลน์ (Alkaline salts) เข้ามาเก็บเอาไว้ในกระดูก เพื่อลดค่าความเป็นด่างในเลือด แต่ในขณะที่เลือดเป็นกรด กระดูก
จะช่วยปลดปล่อยสารจำพวกเกลือ อัลคาไลน์ออกสู่กระแสเลือด เพื่อลดค่าความเป็นกรดในเลือด
10. ช่วยสลายพิษในร่างกาย เนื้อเยื่อกระดูกมีความสามารถในการดูดซึมและเก็บสะสมโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่างกายใน
กระแสเลือด เพื่อลดความเป็นพิษให้แก่ร่างกาย และเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะปกติ กระดูกจึงค่อยๆ ปลดปล่อยโลหะหนักเหล่านั้น
ออกมา และกำจัดออกโดยระบบขับถ่ายต่อไป
11. ควบคุมกระบวนการเมแทบอลิซึมของฟอสเฟส (Phosphate metabolism) โดยการหลั่งไฟโบรบลาสต์ โกรทแฟคเตอร์
(Fibroblast growth factor - 23 หรือ FGF-23) ซึ่งเป็นสารจำพวกโปรตีน ไปควบคุมการดูดกลับฟอสเฟตของไตให้น้อยลง

ระบบกระดูก



ระบบกระดูก


            กระดูก (Bone) เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ที่เป็นโครงร่างแข็ง (Exoskeleton) ภายในร่างกายของสัตว์มีกระดูกสันหลัง

กระดูกของมนุษย์


กระดูกมนุษย์ ประกอบไปด้วยกระดูกชิ้นต่างๆในร่างกาย ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยโครงสร้างของข้อต่อ เอ็น กล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน และอวัยวะต่างๆ กระดูกในมนุษย์ผู้ใหญ่มีประมาณ 206 ชิ้น และคิดเป็นประมาณ20 เปอร์เซนต์ของน้ำหนักร่างกาย อย่างไรก็ดี จำนวนของกระดูกอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ทารกแรกเกิดจะมีกระดูกจำนวนประมาณ 300ชิ้น ซึ่งต่อมากระดูกบางชิ้นจะมีการเชื่อมรวมกันระหว่างการเจริญเติบโต เช่นส่วนกระเบนเหน็บและส่วนก้นกบของกระดูกสันหลัง นอกจากนี้ในทารกแรกเกิดยังมีโครงสร้างของกระดูกอ่อนอยู่มาก เพื่อให้มีการสร้างโครงสร้างของกระดูกระหว่างการเจริญเติบโต และจะมีการพัฒนาไปเป็นกระดูกทั้งหมดเมื่อสิ้นสุดช่วงวัยรุ่น

กระดูกจะติดต่อกับกระดูกอีกชิ้น และประกอบเข้าด้วยกันเป็นโครงกระดูกด้วยเอ็นและกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นในกระดูกโคนลิ้น (Hyoid bone) ซึ่งเป็นกระดูกที่ไม่ติดต่อกับกระดูกชิ้นอื่นๆโดยตรง แต่จะยึดไว้ในบริเวณส่วนบนของคอหอยด้วยเอ็นและกล้ามเนื้อใกล้เคียง

กระดูกชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในมนุษย์คือกระดูกต้นขา (Femur) ในขณะที่กระดูกชิ้นเล็กที่สุดคือกระดูกโกลน (Stapes) ซึ่งเป็นกระดูกของหูชั้นกลางชิ้นหนึ่ง